Falling wedge pattern หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า Descending wedge pattern เป็นรูปแบบกรอบราคาที่บอกสัญญาณขาขึ้น ทำให้เทรดเดอร์ทราบได้ว่ามีโอกาสที่ราคาอาจปรับตัวขึ้นในไม่ช้า โดยแพทเทิร์นนี้เป็นรูปแบบกราฟต่อเนื่อง (Continious pattern) ที่เกิดจากการลากเส้นแนวโน้ม (เทรนด์ไลน์) ระหว่างจุดสูงสุดหลายๆ จุด และจุดต่ำสุดหลายๆ ระดับ ทั้งหมด 2 เส้นซึ่งลู่เข้าหากัน โดยมีราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบเทรนด์ไลน์นั้น
เอาล่ะครับ! ในบทความวันนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคการเทรดด้วยแพทเทิร์น Falling wedge โดยจะใช้สินทรัพย์ทองคำและคู่เงิน Forex เป็นตัวอย่างในการเทรดเพื่อให้ท่านเห็นภาพเข้าใจง่ายมากขึ้น รวมถึงสิ่งที่ท่านควรระวังในการเทรดด้วยรูปแบบนี้ แต่ก่อนอื่น… เรามาดูความแตกต่างระหว่าง Falling wedge และ Rising wedge กันก่อนดีกว่า
ตามที่กล่าวไปข้างต้น Falling หรือ Descending wedge เป็นรูปแบบบอกสัญญาณขาขึ้น หรือเป็นรูปแบบต่อเนื่องที่เกิดขึ้นโดยมีราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบเทรนด์ไลน์ 2 เส้นที่ลู่เข้าหากัน โดยเมื่อท่านสังเกตเห็นรูปแบบนี้ นั่นหมายความว่าราคากำลังจะมีการกลับตัวขึ้นในไม่ช้า โดยสัญญาณขาขึ้นนั้นจะชัดเจนมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่ากรอบการกลับตัวนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร อยู่ที่ระดับไหนของเทรนด์ปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน Rising wedge เป็นรูปแบบที่บอกสัญญาณของเทรนด์ขาลง (Downtrend) ซึ่งตรงกันข้ามกับ Falling wedge นั่นเองครับ โดยท่านจะต้องสังเกตความแตกต่างระหว่างแพทเทิร์น 2 แบบนี้ให้ดี เพื่อวิเคราะห์สัญญาณเทรดที่ถูกต้องและตัดสินใจเทรดได้อย่างแม่นยำ
นอกจากแพทเทิร์นนี้จะเป็นรูปแบบกราฟที่ต่อเนื่องแล้ว มันยังบอกสัญญาณที่ราคาจะกลับตัวขึ้นได้อีกด้วย โดยถึงแม้ว่าท่านจะสังเกตรูปแบบกราฟนี้ได้ไม่ยาก แต่ก็มีข้อแม้ที่ท่านควรระวัง เนื่องจากแพทเทิร์นอาจตีความได้หลายแบบแล้วแต่เงื่อนไขของตลาดในขณะนั้น
เมื่อท่านสังเกตเห็นกรอบ Falling wedge อย่างแรกที่ท่านจะต้องทำก็คือการวิเคราะห์ปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกันเพื่อดูว่าแพทเทิร์นนั้นเป็นรูปแบบการกลับตัว หรือเป็นเพียงรูปแบบต่อเนื่องที่จะเคลื่อนไหวตามเทรนด์เดิมต่อ โดยวิธีการวิเคราะห์นั้นไม่ยาก
วันนี้เราเตรียมเคล็ดลับการเทรดจากแพทเทิร์น Descending wedge มาแนะนำถึง 2 วิธีด้วยกัน โดยไม่ว่าท่านจะเลือกเทรดวิธีไหนก็ตาม อย่าลืมติดตาม บทวิเคราะห์ทางเทคนิค มาเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจด้วยล่ะ!
หากรูปแบบนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นและราคามีความแข็งแกร่ง แสดงว่าตลาดเข้าเงื่อนไขที่จะอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นต่อไป โดยเมื่อระดับ Lower low และ Lower high ลากตัดกัน อาจมีโอกาสที่ราคาจะเบรคทะลุกรอบ Descending wedge ไปเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะพุ่งกลับขึ้นมาต่อพร้อมกันเทรนด์ขาขึ้นที่เป็นเทรนด์ใหญ่มากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การเทรดด้วยแพทเทิร์นนี้จะต้องมีการบริหารความเสี่ยงเหมือนกับเทคนิคอื่นๆ โดยในกรณีที่ตลาดมีแนวโน้มจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นในระยะเวลาที่นานมากยิ่งขึ้น ท่านจะต้องตั้ง Stop loss ในระดับที่เหมาะสม และเว้นระยะของ Stop loss ให้พอดีกับระดับที่ราคาอาจมีการเบรคทะลุแนวต้าน
วิธีนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเทรดเดอร์สังเกตเห็นแล้วว่าราคาจะมีโอกาสกลับตัวได้จริงจากการวิเคราะห์กราฟเทคนิคร่วมด้วย โดยหากจะเทรดให้ง่ายยิ่งขึ้นและสังเกตแพทเทิร์นได้ไม่ยาก เทรดเดอร์จะต้องลากเส้นเทรนด์ไลน์เชื่อมระหว่างราคา Low แต่ละจุด และราคา High แต่ละระดับ โดยช่วงที่ดีที่สุดในการเปิดออเดอร์ก็คือจังหวะที่ราคาอยู่ใกล้กับระดับแนวต้าน หรือเบรคทะลุแนวต้านไปแล้วนั่นเอง และมีเทคนิคเล็กๆ คือการตั้ง Stop loss ที่ระดับ Swing low ล่าสุด
ข้อควรระวัง: อย่าลืมว่าแพทเทิร์นนี้จะต้องอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัวที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยมีเคล็ดลับคือ หากท่านเห็นว่าปริมาณวอลุ่มการเทรดในตลาดนั้นเพิ่มมากขึ้น และตลาดกำลังปรับตัวดีขึ้น แสดงว่าสัญญาณการกลับตัวขึ้นนั้นเป็นสัญญาณจริง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเทรดผิดพลาด และป้องกันการเทรดขาดทุนจากสัญญาณหลอก เทรดเดอร์ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Falling wedge ให้ดี ซึ่งได้แก่:
ข้อดี:
ข้อเสีย:
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน