ตัวเลขราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นกว่าจุดสูงสุดเดิมก่อนหน้าในรอบ 40 ปี ซึ่งพุ่งทะยาน 8.5% ในเดือน มี.ค. ปีนี้ ที่สำคัญราคาผู้ผลิต (PPI) เองก็สูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะยานถึง 11.2% ในเดือนเดียวกัน เพื่อรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น นักลงทุนควรมองหาและเลือกซื้อหุ้นที่มีการปรับขึ้นตามเงินเฟ้อนั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาสภาวะหรือสถานการณ์ตลาดได้ เราได้เผชิญความผันผวนมามากมายทั้งจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดและเหตุการณ์วิกฤตทางการเมือง ซึ่งถ้าจะให้พูดกันตามความจริง หุ้นที่นักลงทุนควรมองหาในช่วงที่เงินเฟ้อกำลังพุ่งคงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็แน่นอนว่าจะเลือกลงทุนเพียงกลุ่มเดียวคงไม่ได้ นักลงทุนยังควรกระจายการลงทุนให้ได้มากที่สุดเพื่อกระจายความเสี่ยงให้มากยิ่งขึ้น
การลงทุนในหุ้นเป็นโอกาสขยายผลตอบแทนในระยะยาวตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนควรระวังคือไม่ใช่สินทรัพย์ทุกตัวที่จะให้ผลตอบแทนได้ดี ตัวอย่างเช่นตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ (Fixed-rate bond) หรือตราสารที่มีการจ่ายปันผลสูงอาจยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการลงทุนช่วงที่อัตราเงินเฟ้อกำลังพุ่ง
นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มจะปรับตัวได้ดีกับสภาวะเงินเฟ้อ หรือเป็นสินค้าที่ยังไงก็จะมีความสำคัญกับผู้บริโภค อาทิ กลุ่ม Consumer staple หรือสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่หุ้นของ Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งการขายปลีกอาจยังไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าสนใจเท่าไหร่ เพราะเป็นบริษัทที่มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ สูง ไม่ว่าจะการดูแลคลังสินค้าหรือสถานที่จำหน่าย
ดังนั้น นักลงทุนอาจต้องมองหาหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ทำผลงานได้ดีในช่วงเงินเฟ้อ ยกตัวอย่างหุ้นกลุ่ม E-commerce ที่ยังเป็นภาคส่วนสำคัญเนื่องจากเกี่ยวข้องกับกลุ่มเทคโนโลยี และนี่คือหุ้นเทคโนโลยี 3 อันดับที่น่าซื้อในช่วงเงินเฟ้อ
สัญลักษณ์ของหุ้น | ราคาล่าสุด | มูลค่าตามตลาด |
---|---|---|
Shopify (SHOP) | $375.12 | $47B |
Netflix (NFLX) | $197.44 | $88B |
Etsy (ETSY) | $81.12 | $10B |
แพลตฟอร์มนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปที่หน้าร้าน และเป็นโอกาสให้ผู้ค้าทั้งรายปลีก รายย่อย และธุรกิจขนาดเล็กได้มีโอกาสเติบโต นอกจากนี้ยังสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่หลังจากกลายเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจร
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด บริษัทมีต้นทุนในการดำเนินการน้อย ขณะที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อสินค้า
Netflix เป็นอีกหนึ่งหุ้นยอดนิยมที่ทำผลงานได้ดีในช่วงเงินเฟ้อ เนื่องจากผู้บริโภคจะเลือกเสพความบันเทิงจาก Netflix แทนการไปจ่ายค่าตั๋วหนัง, น้ำอัดลม, และป๊อปคอร์นที่แพงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการดู Netflix อยู่บ้านนั้นถูกกว่าแน่นอน
แน่นอนว่าบริษัทยังคงต้องจ่ายเงินเดือนที่ค่อนข้างสูงให้กับพนักงานตามอัตราเงินเฟ้อของค่าจ้าง แต่ก็ยังน้อยหากเทียบกับกำไรที่บริษัทได้รับ
แม้ผู้ใช้งาน Netflix จะลดลงในบางช่วง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่ถูกลงได้ในขณะที่เงินเฟ้อมีการปรับขึ้นเรื่อยๆ โดยในช่วงที่ผ่านมา มีบางจังหวะที่หุ้น Netflix มีปรับลงต่ำสุดในรอบหลายปี เป็นจังหวะที่ดีในการช้อน
Etsy ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 และเติบโตเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ได้ในที่สุด โดยแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ผู้ที่ไม่มีทักษะในการเขียนหรือใช้งานโปรแกรมได้เข้ามาขายขายสินค้าทำมือ เสื้อผ้าวินเทจ เครื่องมือที่ใช้แล้ว และอีกมากมาย
ด้วยการใช้งานที่ง่ายส่งผลให้มีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านคนที่ใช้แพลตฟอร์มในปี 2021 ที่ผ่านมา เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าไปยังผู้ใช้มากกว่า 90 ล้านคนทั่วโลก โดยในเวลาเพียงสองปี Etsy มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หุ้น Etsy น่าลงทุนคือศักยภาพในการเติบโตที่สูง โดยในปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 2% เท่านั้น ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมให้กับสินค้าที่ต้องสั่งทำและสินค้าทำมือโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นตัวเลือกที่ถูกกว่าในการซื้อเมื่อเทียบกับสินค้าของ IKEA
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน