มูลค่าตลาด (Market value) เป็นตัวอธิบายราคาสินทรัพย์ที่อาจเป็นตัวดึงตลาด หรือที่รู้จักกันว่า OMV (ย่อมาจาก Open market valuation) ซึ่งยังแสดงถึงความคาดหวังของนักลงทุน ตลอดจนมูลค่าเชิงราคาที่มอบให้กับธุรกิจหรือหุ้น
ในบทความวันนี้ เราจะมาดูเบื้องหลังการกำหนดมูลค่าตลาด เพื่อเรียนรู้วิธีคำนวณและทำความเข้าใจว่าทำไมมูลค่าตลาดจึงสำคัญต่อนักลงทุน
มูลค่าตลาด หรือ Market value ช่วยบ่งบอกมูลค่าตลาดของบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยในการคำนวณมูลค่าตลาด เราต้องนำราคาปัจจุบันของหุ้นมาคูณด้วยจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว
โดยทั่วไป มูลค่าตลาดถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกำหนดประเภทของสินทรัพย์ในการเทรด โดยอาจรวมถึงทั้งฟิวเจอร์สหรือหุ้นก็ได้เช่นกัน อีกทั้งยังใช้ในการกำหนดประเภทสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคงที่
ความท้าทายอีกอย่างในการใช้มูลค่าตลาดสำหรับนักลงทุนก็คือการประเมินสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น ธุรกิจ หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยท่านอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างมืออาชีพจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินมูลค่าบริษัทโดยตรง
หากท่านกำลังมองหาเครื่องมือที่น่าเชื่อถือในการระบุมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจ มูลค่าตลาดก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ เนื่องจากเครื่องมือนี้มีข้อมูลภาพรวมที่กว้างที่ทำให้สามารถประเมินธุรกิจขนาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ หรือผู้นำระดับโลกและผู้ออกหุ้นรายใหญ่ที่สุดที่มีมูลค่าของบริษัทหลายพันล้านเหรียญ
ในการระบุมูลค่าตลาด นักเทรดจำเป็นต้องพิจารณา Multiple และการประเมินมูลค่าที่กำหนดโดยนักลงทุนต่อบริษัทเป้าหมาย อาทิ:
เพื่อเข้าใจความหมายของมูลค่าตลาดให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ มูลค่าตลาดมีลักษณะความเคลื่อนไหวแบบ Dynamic มีความผันผวนเป็นบางครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถเคลื่อนไหวได้ตามวงจรของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น:
นอกจากเงื่อนไขตลาดโดยรวม (ตลาดขาขึ้นหรือขาลง) มูลค่าตลาดขึ้นอยู่กับปัจจัยเพิ่มเติม ประการสำคัญอย่างแรกคือเราจะต้องระบุกลุ่มเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เราสนใจ ประการที่สองคือการคำนึงถึงผลกำไรของกลุ่มนั้นๆ มีแนวโน้มจะได้รับ ภาระหนี้ รวมถึงวิเคราะห์ว่าแต่ละตลาดกว้างมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น
ความขัดแย้งระหว่างราคา (Divergence) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมูลค่าตลาด เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity of shareholder) และมูลค่าทางบัญชี (Book value) อาจส่งผลกระทบต่อเครื่องมือนี้ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากมูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี แสดงว่าหุ้นของบริษัทนั้นมีราคาต่ำเกินไป พูดง่ายๆ ก็คือ นักเทรดมีโอกาสที่จะซื้อหุ้นด้วยราคาที่ลดลง ดังนั้น มูลค่าทางบัญชีจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าของบริษัทที่เป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต (ว่าจะพุ่งขึ้นหรือจะดิ่งลง)
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน